ลูกเสือไม่มีเกษียณ
ONCE A SCOUT, ALWAYS A SCOUT
----------------------------
“
ทองคำแท้คงค่าความเป็นทอง หาสิ่งใดที่ทำให้หมองได้ไม่
สนิมกัดกล่อนได้แต่เนื้อเหล็ก ไม่อาจแม้น้อยนิดเกาะกินเนื้อทอง”

กิจการลูกเสือไทยได้ดำเนินการมาเป็นเวลา ๙๖ ปีแล้ว เป็นกิจการที่นับได้ว่ามีความเจริญก้าวหน้า วิวัฒนาการเป็นปึกแผ่นมาพอสมควร และนับเป็นพระราชมรดกอันล้ำค่าของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ส่วนหนึ่ง ที่ช่วยให้ประเทศชาติมีความมั่นคงตราบเท่าทุกวันนี้ ถ้าเป็นอายุคนก็ล่วงเลยมาถึงวัยชราแล้ว คงเป็นที่ทราบอยู่ดีแล้วว่า ผู้ที่เป็นข้าราชการ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ หรือทำงานอยู่ในองค์กรเอกชนใดก็ตาม เมื่อได้ทำงานในหน่วยงานนั้น ๆ เป็นเวลานานจนมีอายุได้ ๕๕ หรือ ๖๐ ปี ก็ต้องครบเกษียณอายุจากงานนั้น ๆ ถูกปลดเป็นข้าราชการบำนาญ หรือเป็นราษฎรเต็มขั้น ชายไทยที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารเพื่อรับใช้ชาติบ้านเมืองตามกฎหมายเมื่ออายุครบ ๒๐ ปีก็เช่นกัน หลังจากได้เข้าไปเป็นทหารเกณฑ์ครบ ๒ ปี หรืออาจจะน้อยกว่านั้น ถ้าได้รับการฝึกหัดศึกษาเล่าเรียน เป็นนักศึกษาวิชาทหาร จากนั้นก็จะถูกปลดเป็นทหารกองหนุนต่อไป การเป็นลูกเสือก็เช่นกัน ตามปกติเด็ก ๆ ก็สามารถสมัครเป็นลูกเสือได้เมื่ออายุ ๘-๒๑ ปี และเป็นลูกเสือต่อไปได้จนถึงอายุ ๒๕ ปี ก็จะพ้นสภาพการเป็นลูกเสือ แต่ถ้ายังมีความศรัทธาต่อการลูกเสืออีก ก็สามารถสมัครเข้าเป็นผู้บังคับบัญชาลูกเสือได้ต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่เรียกว่าไม่มีเกษียณอายุการเป็นลูกเสือ ที่กล่าวเช่นนี้เนื่องจากได้มีโอกาสอ่านพบคำสั่งสอนของพระยาวิสุทธสุริยศักดิ์ กรรมการกลางจัดการลูกเสือซึ่งได้กล่าวแก่ลูกเสือกองหนุนรุ่นแรก ในการแจกเหรียญลูกเสือกองหนุนเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๔๕๖ ซึ่งมีใจความสรุปได้ว่า ตามระเบียบข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือ ลูกเสือเมื่อพ้นสภาพการเป็นลูกเสือแล้ว จะถูกปลดเป็นลูกเสือกองหนุน โดยจะได้รับพระราชทานเหรียญลูกเสือกองหนุนเป็นเครื่องหมายเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจว่า เมื่อออกจากประจำกองลูกเสือแล้ว และถูกเรียกว่าเป็นลูกเสือกองหนุนนั้น มีความเข้าใจตนเองว่ากระไร โดยย้ำว่า การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ตั้งกองลูกเสือขึ้น และพระราชทานพระบรมราชานุญาตแก่นักเรียน ซึ่งสมัครจะเป็นลูกเสือให้เป็นลูกเสือได้นั้น เด็กสมัครเป็นลูกเสือเพราะชอบเครื่องแบบลูกเสือ หรือสมัครเป็นเพราะอยากสนุก หรือว่าอะไรกันแน่ เพราะโดยพระราชประสงค์แท้จริงที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้มีกองลูกเสือนั้น ทรงหวังประโยชน์เพื่อจะฝึกหัดให้พลเมืองมีใจเป็นลูกเสือและให้มีนิสัยเป็นลูกเสือ ฉะนั้น เมื่อเด็กคนใด ได้เคยเป็นลูกเสือแล้วออกเป็นกองหนุน ก็อย่าไปเข้าใจผิดว่า ตนพ้นจากความเป็นลูกเสือแล้ว อย่าเข้าใจผิดไปว่าความซื่อสัตย์ภักดี ความประพฤติชอบก็ดี ซึ่งได้รับการสั่งสอนในเวลาที่เป็นลูกเสือจะไม่ต้องประพฤติให้มีอยู่ตลอดไปเพราะกิจการลูกเสือมุ่งที่จะให้ลูกเสือทุกคนประพฤติตนดังนี้
๑. ให้ลูกเสือระลึกถึงพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รักชาติบ้านเมือง และนับถือเสื่อมใสในพระพุทธศาสนา
๒. ให้มีความโอบอ้อมอารีรักเพื่อนมนุษย์ที่ร่วมชาติ และให้นึกถึงตนภายหลังผู้อื่น ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นในทางที่ผิด
๓. ให้เป็นผู้เคารพในธรรม และในพระราชกำหนดกฎหมายของบ้านเมือง ให้รักดีเกลียดชัง
ความชั่ว ให้มีใจสุจริต ซื่อตรง ถือความสัตย์
๔. ปลงใจและชักจูงให้พอใจในทางเสือป่า ให้ชอบเป็นลูกผู้ชาย ให้ละอายในการที่อ่อนแอ หรือขลาด ให้ละเว้นการเล่นเหลวแหลก และการเที่ยวเตร่อย่างที่ไม่สมควรเด็กจะประพฤติ
๕. ให้ฝึกหัดให้อกผายไหล่ผึ่ง
๖. ให้มีความรู้ในทางเสือป่าตามที่ได้แนะนำไว้ในแบบสั่งสอนเสือป่าและลูกเสือ
๗. ให้ใช้ความคิดชอบตนเอง แต่ไม่ใช่ให้ใช้ในทางที่ผิด ต้องถือวินัยอย่างเคร่งครัด
ข้อพระราชประสงค์ที่จะให้ลูกเสือเป็นอย่างไรดังที่กล่าวมาแล้ว ขอให้ผู้ที่เข้าประจำกองเป็นลูกเสือ
ตั้งใจประพฤติตามนี้ จนกระทั่งได้เป็นกองหนุน และควรจะยึดถือไว้เป็นคุณสมบัติประจำตัว อย่าให้เสื่อมสูญไปได้ การที่ฝึกหัดลูกเสือก็เพื่อจะให้ได้ความดีติดอยู่ในตัวเสมอดังกล่าวนี้ ต่อไปข้างหน้าเมื่อพลเมืองของเราเป็นลูกเสือมากเข้า พลเมืองของเราก็จะเป็นดีมากขึ้น การกระทำความชั่วร้ายเบียดเบียนไพร่บ้านเมืองก็จะน้อยลงไป คุณประโยชน์แก่งการที่ผู้กำกับและรองผู้กำกับได้เหน็ดเหนื่อย พยายามทำการฝึกหัดลูกเสือจะเป็นเครื่องอิ่มใจด้วยความสำเร็จดังกล่าวนี้
เหรียญที่ระลึกสำหรับลูกเสือกองหนุนที่ได้รับพระราชทานไปนี้ ให้ลูกเสือกองหนุนใช้ร้อยสายสร้อยหรือด้าย ผูกคอได้ทุกเวลา และเหรียญนี้เป็นของพระราชทานควรนับถือเป็นเหมือนเครื่องรางอันสำคัญ เมื่อเห็นเหรียญหรือจับต้อง ให้นึกเสมอว่าเราได้พระราชทานเพราะคุณความดีที่ได้ประพฤติมา และจงเตือนใจ
ตนเองว่า เราจะไม่ประพฤติชั่วต้องทำความดีอยู่เสมอ และหากจะมีอะไรมาชักจูงใจเราให้ประพฤติชั่วร้ายอันผิดลักษณะลูกเสือแล้ว ให้เอามือจับเหรียญที่ระลึกนี้ตั้งใจบังคับใจตนเองให้เป็นเครื่องห้ามไว้ อย่าให้ประพฤติความชั่วนั้นจงได้ และให้ระลึกเสมอว่า การช่วยเหลือผู้อื่นเป็นหน้าที่อันสำคัญของลูกเสือ ปัจจุบันที่สังเกตเห็นในเวลานี้ ลูกเสือจะไม่ใคร่เอาใจใส่ในการนี้มักจะหาทางหลีกเลี่ยงไปเสีย บางคนก็เห็นเสียว่าไม่มีอะไรที่จะทำ ความจริงนั้น ถ้าตั้งใจจะทำแล้ว ย่อมมีโอกาสที่จะทำได้ทุกวัน วันหนึ่งอาจพบตั้งหลายครั้งก็ได้ ฉะนั้น ทุก ๆ วันต้องหาโอกาสทำการที่เป็นประโยชน์เสมอ แม้เป็นการเล็กน้อยก็ต้องทำอย่ารอคอยแต่จะทำที่สำคัญ ก่อนที่จะนอน ลูกเสือควรระลึกดูว่า วันนี้ ได้ทำอะไรซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นบ้าง ถ้าไม่ได้ทำอะไรควรรู้สึกเสียใจและตั้งใจทำในวันรุ่งขึ้น เพื่อให้เป็นเครื่องเตือนใจมากขึ้น ควรมีสมุดพกเมื่อได้ทำการช่วยเหลือครั้งหนึ่งก็ควรจดลงครั้งหนึ่ง ว่าได้ทำอะไร เมื่อไรแล้วคอยพลิกดูเสมอ ให้ได้มีจดขึ้นใหม่ทุกวัน ผู้กำกับลูกเสือ
รองผู้กำกับลูกเสือ นายหมู่ลูกเสือควรแนะนำให้ลูกเสือปฏิบัติอย่างนี้ และควรให้มีเวลาถามว่าใครได้ทำอะไรบ้าง เพื่อให้กำลังใจอยู่เสมอ ๆ
กิจการลูกเสือไทยเจริญก้าวหน้ามา ๙๖ ปีแล้ว ขอจงช่วยกันทำนุบำรุงให้เจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป ดังพระราชประสงค์ในการจัดตั้งเสือป่าและลูกเสือที่องค์พระผู้พระราชทานกำหนดได้ทรงพระราชทานไว้ดังนี้
".......
การที่ตั้งเสือป่าขึ้น ก็ด้วยความมุ่งหมายจะให้คนไทยทั่วกันรู้สึกว่า ความจงรักภักดีต่อผู้ดำรงรัฐสีมาอาณาจักร์ โดยต้องตามนิติธรรมประเพณีประการ ๑ ความรักชาติบ้านเมือง และนับถือพระศาสนา ประการ ๑ ความสามัคคีในคณะ และไม่ทำลายซึ่งกันและกัน ประการ ๑ ทั้ง ๓ ประการนี้เป็นมูลรากแห่งความมั่นคง จะทำให้ชาติเราดำรงอยู่เปนไทยได้สมนาม มิให้เสียทีที่บรรพบุรุษของเราทั้งหลายได้สู้ก่อสร้างปลูกฝังชาติเราไว้ในแว่นแคว้นแนสยามนี้ ถึงการที่ได้คิดจัดให้มีลูกเสือขึ้น ก็โดยความปราถนาที่จะให้เด็กไทยได้ศึกษาและจดจำข้อสำคัญทั้ง ๓ ประการ อันกล่าวมาแล้วนั้น ให้ยังมั่นอยู่บนดวงจิตร ตั้งแต่ยังมีอายุอยู่ในปฐมวัย เพื่อว่าเมื่อเติบใหญ่ขึ้นแล้วก็จะได้คงรู้สึกเช่นนั้นอยู่ตลอดชีวิตร และจะได้ตั้งจิตประพฤติตนเป็นไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินอันประเสริฐ มิให้เสียทีที่ได้กำเหนิดมาในชาติไทย จะได้ตั้งใจไว้ชื่อในโลกนี้ให้มีผู้นับหน้าถือตา และให้เขาทั้งหลายเห็นปรากฎว่าชาติเราเป็นชาติที่ยังไม่ตายยังจะถาวรและจำเริญยิ่งขึ้นไปทุกวัน....."
(
ลายพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. ๓ ธันวาคม ร.ศ.๑๓๐ (พ.ศ.๒๔๕๔). พระดำรัสตอบในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช. เบ็ดเตล็ด (ร.๖ บ ๑.๒/๙) หอจดหมายเหตุแห่งชาติ. เอกสารใน

ผอ.สมมาต  สังขพันธ์ 

ผู้อำนวยการส่วนพัฒนาลูกเสือและบุคลากรทางการลูกเสือ
อนุกรรมการลูกเสือภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ฝ่ายพัฒนาบุคลากร


สำนักงานลูกเสือแห่งชาติ  เลขที่ 154  ศาลาวชิราวุธ ถ.พระราม 1 เขตปทุมวัน กทม.10330 

 

         Since : Nov 22, 2005 
         Last update : March 16 , 2010
         Brought update by : THAI Thip Group
         Design , HTML by :Tosawat  tripak